วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิกฤตการณ์ค่านิยมในสังคมไทย

วิกฤตการณ์ค่านิยมในสังคมไทย

การสำรวจความคิดเห็นของเยาวชน ซึ่งจัดทำขึ้นโดย สำนักโพลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการสำรวจที่ค่อนข้างน่าตกใจ กล่าวคือ เยาวชนส่วนใหญ่ที่กรอกแบบสำรวจแสดงความคิดเห็นว่า พฤติกรรมที่พวกเขาอยากลอกเลียนแบบนักการเมืองของไทยมากที่สุดก็คือ พฤติกรรม การกระทำที่เห็นแก่ตัวและการทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆในขณะที่มีเยาวชนแสดงความคิดเห็นว่าอยากจะลอกเลียนแบบพฤติกรรมและการกระทำความดีของนักการเมืองน้อยกว่าเยาวชนกลุ่มแรกถึงสามเท่าผลการสำรวจความคิดเห็นเยาวชนดังกล่าวเป็นเรื่องที่บางคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเชื่อหรือเยาวชนผู้ตอบแบบสอบถามอาจจะ "ล้อเล่น"แต่ถ้านำผลการสำรวจความคิดเห็นในประเด็นเรื่องดังกล่าวในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่า ผลการสำรวจดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันเช่น ผลการสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาเมื่อสองสามปีก่อน ก็ชี้แสดงในลักษณะเดียวกันว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เห็นว่าการทุจริตประพฤติมิชอบเป็นเรื่องปกติธรรมดาและก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น ผลการสำรวจของทางราชการก็ชี้แสดงไปในทิศทางเดียวกันว่า ประชาชนส่วนใหญ่แสดงเจตจำนงที่จะขายเสียงหรือรับเงินจากนักการเมือง ในการเลือกตั้งทั่วไปดังกล่าวการที่เยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปแสดงความคิดเห็นในลักษณะดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นชัดว่า ค่านิยมที่วิทยากร เชียงกูล ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของรุ่น 14 ตุลาคม 2516 ในฐานะเจ้าของบทกวี "ฉันจึงมาหาความหมาย" เรียกว่า "ค่านิยมแบบเห็นแก่ได้" กำลังระบาดลุกลามไปทั่วสังคมไทยซึ่งสาเหตุหลักของค่านิยมดังกล่าวอาจารย์วิทยากรชี้ว่าเป็น "นโยบายการบริหารที่เน้นการแข่งขันหาเงินเพื่อการบริโภคสูงสุด คือตัวการสร้างค่านิยมแบบเห็นแก่ได้ ที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมให้เยาวชน และประชาชนทั้งประเทศ..."ซึ่งค่านิยมแบบเห็นแก่ได้ดังกล่าว ผู้เขียนมีความเห็นว่าเป็นวิกฤตการณ์ค่านิยม (value crisis) ที่ร้ายแรงของสังคมไทยในปัจจุบันซึ่งวิกฤตการณ์ค่านิยมเช่นนี้ก่อให้เกิดผลเสียหายเป็นอย่างมากทั้งด้านทรัพยากรและจิตใจของผู้คน แต่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะชนชั้นนำมักจะมองไม่เห็นความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลต่อกันระหว่างนโยบายการพัฒนาประเทศที่เน้นแต่การหาเงินและความเจริญเติบโตทางวัตถุเหตุที่ค่านิยมความเห็นแก่ได้ดังกล่าวก่อให้เกิดผลเสียหายทั้งด้านทรัพยากรและจิตใจก็เนื่องจากว่าผู้คนในสังคมที่มีค่านิยมเช่นว่านั้นมุ่งที่จะได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองหรือทรัพยากรต่างๆ โดยไม่สนใจว่า จะใช้วิธีการใดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ วิธีการ (means) ใดก็ตามที่สามารถทำให้บรรลุจุดหมาย (end) ได้แล้วก็จะถูกนำมาใช้โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายบ้านเมืองหรือศีลธรรม เช่นการบุกรุกทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การรับจ้างทำร้ายหรือสังหารผู้อื่น การค้าประเวณี การทุจริตประพฤติมิชอบ ตลอดจนการซื้อสิทธิขายเสียงที่กำลังบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างรุนแรงอยู่ในขณะนี้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เป็นการวิเคราะห์สาเหตุหลักของค่านิยมแบบเห็นแก่ได้ในมิติของสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนาซึ่งเป็นมิติหรือมุมมองในระดับมหภาคที่เป็นการมองปัญหาและสาเหตุของปัญหาในระดับประเทศ ซึ่งผู้เขียนคิดว่า ถ้าจะให้ดีหรือครอบคลุมอย่างละเอียดชัดเจนมากขึ้นก็จะต้องวิเคราะห์ในระดับจุลภาคหรือระดับปัจเจก บุคคลประกอบไปพร้อมๆ กันด้วยและผู้เขียนก็จะขอวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหา โดยอาศัยคำสอนในพุทธศาสนาและความรู้ทางด้านจิตวิทยาสังคมในคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้น มนุษย์เราจะชั่วดีอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตนเองและผู้อื่น กล่าวคือ การที่จะเป็นคนดีได้ก็ต้องอาศัยปัจจัยภายในคือ โยนิโสมนสิการ หรือการคิดอย่างแยบคายเป็นเหตุเป็นผลของตัวเราเอง และปัจจัยภายนอกซึ่งได้แก่ ปรโตโฆษะ หรือเสียงจากผู้อื่น ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงเสียงเตือนหรือคำอบรมพร่ำสอนจาก กัลยาณมิตร ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตร บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ นักบวช ฯลฯในยุคข้อมูลข่าวสารนี้ ปรโตโฆษะที่เป็นกัลยาณมิตรก็น่าจะหมายรวมไปถึงเสียงเตือนหรือการให้การศึกษาอบรมในทางที่ดีจากสื่อมวลชนประเภทต่างๆ ด้วย แต่ในทางกลับกันนั้น การที่จะเป็นคนชั่วได้นั้นก็ต้องอาศัยทั้งมิจฉาทิฐิหรือความคิดความเชื่อตลอดจนค่านิยมที่ไม่ถูกต้องของทั้งตนเองและผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง รวมทั้งการให้ความรู้และการให้การอบรมบ่มนิสัยในทางที่ผิดจากสื่อมวลชนที่ไม่ดี รวมไปถึงการ์ตูนและเกมส์ต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อเยาวชนที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบันตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory) โดยเฉพาะทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูรา (Albert Bandura) นั้น ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะเยาวชนจะเรียนรู้และลอกเลียนพฤติกรรมของผู้ที่เด่นดังในสังคม เป็นต้นว่า ผู้นำทางการเมือง และดารานักร้อง นักแสดง ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นตัวแบบ (model) ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอื่นๆ ในสังคมเป็นอย่างมากในกรณีของดารานักแสดงนักร้องนั้น การทะเลาะตบตีแย่งคนรักกันทั้งในละครและในชีวิตจริงนั้น ได้กลายเป็นตัวอย่างที่เยาวชนและบุคคลทั่วไปในสังคมเป็นจำนวนไม่น้อยลอกเลียนแบบ โดยเฉพาะนักเรียนหญิงในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา มี การทะเลาะตบตี กันอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากการแย่งแฟนแต่กรณีที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้นก็คือ การทุจริตประพฤติมิชอบของนักการเมือง ซึ่งการทุจริตประพฤติมิชอบเหล่านี้ สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ได้นำออกมาตีแผ่ให้สาธารณชนได้รับรู้อยู่แทบทุกวันทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะเยาวชนซึมซับรับเอาตัวแบบที่ไม่ดีของนักการเมืองที่ทุจริตประพฤติมิชอบเหล่านั้นมาทีละเล็กทีละน้อย จนเห็นว่าเรื่องคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา และยอมกระทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ทรัพย์สินเงินทองมาโดยไม่สนใจว่า การกระทำหรือวิธีการนั้นถูกต้องชอบธรรมหรือไม่สิ่งที่ผู้เขียนและคนอีกเป็นจำนวนมากในสังคมไทยกำลังเป็นห่วงในขณะนี้ก็คือ ค่านิยมแบบเห็นแก่ได้ดังกล่าวนี้กำลังแพร่ระบาดเข้าไปในแทบทุกวงการ แม้แต่ในวงการศึกษา ศาสนา ตลอดจนในแวดวงผู้ทำงานเกี่ยวกับการรักษาความเป็นปกติสุขของบ้านเมือง และความมั่นคงของชาติ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีคนในวงการหรือแวดวงดังกล่าวเป็นจำนวนไม่น้อยที่กระทำสิ่งที่เป็นภัยคุกคามความเป็นปกติสุขของบ้านเมืองและความมั่นคงของชาติ เช่น การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม ฯลฯ รวมไปถึงการกระทำตนเป็นลูกน้องหรือหัวคะแนนให้นักการเมืองในการซื้อสิทธิขายเสียงซึ่งหากปล่อยให้ค่านิยมแบบเห็นแก่ได้ที่นับว่าเป็นวิกฤตการณ์ค่านิยมในสังคมไทยที่ร้ายแรงดังกล่าวข้างต้นแผ่ขยายต่อไปเรื่อยๆ แล้ว สักวันหนึ่งสิ่งที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เรียกว่าวิกฤตการณ์ที่ 4 แห่งสังคมไทย คือการพัฒนาไปในทิศทางที่ทำลายตนเองก็คงจะมาถึงในไม่ช้าด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงใคร่ขอวิงวอนรัฐบาลให้กำหนดนโยบายพัฒนาประเทศที่เน้นการพัฒนาแบบยั่งยืนที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมให้มากโดยนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องทฤษฎีใหม่และเศรษฐ กิจพอเพียง ไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้และมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อประชาชนอย่างเสียสละอุทิศตน และประพฤติปฏิบัติตนเป็น "ผู้ใหญ่" ที่ดีของเยาวชนคนหนุ่มสาวจะได้ยึดเป็นตัวแบบ (model) ในการดำเนินชีวิตของพวกเขาสืบไป ซึ่งหากเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ "วิกฤตการณ์ที่ 4 แห่งสังคมไทย" คือการพัฒนาไปในทิศทางที่ทำลายตนเองก็คงจะไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างแน่นอน

(ข้อมูล : โดย ปรีชา ดิลกวุฒิสิทธิ์ มหาวิทยาลัยบูรพา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น